เอาละวันนี้พวกเรามาทำความรู้จักกับเกอิชากันนะครับ จะได้รู้ซักทีว่าทำไม โมริ โคโกโร่ ถึงปลาบปลื้มเกอิชานักหนา (ยกตัวอย่าง : ใน ยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน เดอะมูฟวี่ 7 คดีฆาตกรรมแห่งเมืองปริศนา)
เกอิชา เป็นอาชีพหนึ่งของสตรีญี่ปุ่นในสมัยก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชำนาญทางศิลปะและให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นเสมือนผู้คอยต้อนรับและปรนนิบัติแขก
คำว่า “เกอิชา” นั้น ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า “เกชะ” ในแถบคันไซเรียกว่า “เกงิ” ส่วนเกอิชาฝึกงานหรือ “เกโกะ” มีใช้มาตั้งแต่สมัยเมจิ ส่วนคำว่า “กีชา” ที่เรียกว่า “สาวเกอิชา” นั้น นิยมเรียกในช่วงปฏิบัติการร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา หมายถึง หญิงขายบริการ แต่เรียกตัวเองว่า “เกอิชา”
อาชีพของเกอิชานั้นพัฒนาขึ้นมาจาก ไทโคะโมะชิ หรือ โฮกัง ซึ่งคล้ายกับพวกตลกหลวงในราชสำนัก เกอิชาในสมัยแรกนั้นล้วนเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันนั้นจะเรียกกันว่า “อนนะ เกชะ” หรือเกอิชาหญิง แต่ในปัจจุบันเกอิชาเป็นหญิงเท่านั้น
เดิมนั้นหญิงที่จะทำอาชีพเกอิชาจะได้รับการฝึกอบรมตั้งแต่เด็ก สำนักเกอิชามักจะซื้อตัวเด็กหญิงมาจากครอบครัวที่ยากจน แล้วนำมาฝึกฝนเลี้ยงดูโดยตลอด
ในช่วงวัยเด็ก พวกเขาจะทำงานเป็นหญิงรับใช้ เพราะผู้ช่วยเกอิชารุ่นพี่ในสำนักถือเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนด้วยเช่นกัน และเพื่อชดใช้กับค่าเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอน การสอนและฝึกฝนอาชีพที่ยาวนานเช่นนี้ นักเรียนจะอาศัยอยู่ในบ้านของครูผู้ฝึก ช่วยทำงานบ้าน สังเกต และช่วยครู และเมื่อชำนาญเป็นเกอิชาแล้ว สุดท้ายก็จะเลื่อนขึ้นไปสู่ตำแหน่งครูผู้ฝึกอบรมต่อไป การฝึกอบรมนี้จะต้องใช้เวลานานหลายปีทีเดียว
เกอิชาไม่ใช่โสเภณี แม้ว่าในอดีตจะมีการขายพรหมจารีอย่างถูกต้อง และเกอิชาก็ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อเพื่อการนี้ก็ตาม เกอิชากับโสเภณีมีความแตกต่างพอสมควร โดยสังเกตอย่างง่ายจากการแต่งตัว โดยที่โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้า เพื่อความสะดวกในถอดชุดออกออก เครื่องประดับของเหล่าหญิงโสเภณีมีความงดงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า ในขณะที่เกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังตามชุดกิโมโนทั่วไป เครื่องประดับนั้นจะเรียบง่ายแต่แสดงออกถึงความสวยงามตามธรรมชาติ ในรูปแบบของศิลปะได้อย่างดีทีเดียว
เกอิชาสมัยใหม่จะไม่ถูกซื้อตัวหรือพามายังสำนักเกอิชาตั้งแต่เด็กเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
การเป็นเกอิชาในสมัยใหม่นั้นเป็นไปโดยสมัครใจทั้งสิ้น และการฝึกฝนอาชีพนั้นจะเริ่มต้นที่หญิงสาว ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ไม่ใช่เด็กหญิงอย่างแต่ก่อน และจะใช้เวลาที่ยาวนานและยุ่งยากมาก เพราะฝึกเมื่ออายุมาก
ย้อนกลับมาสมัยรุ่งเรืองของเกอิชา
โดยทั่วไปเด็กสาวที่สมัครมาเป็นเกอิชา จะมายังสถานน้ำชาพร้อมกับบิดามารดา เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว เธอก็จะเริ่มต้นด้วยการเป็น ชิโกมิซัง หรือเด็กรับใช้ของมาอิโกะและเกอิโกะ ซึ่งมีระยะเวลาประมาณหนึ่งปี ในช่วงนี้เธอจะต้องเหนื่อยยากลำบาก เช่นว่า ชาวญี่ปุ่นทุกคนจะอาบน้ำก่อนเข้านอน แต่สาวชิโกมิซังจะต้องคอยจนกว่า นายผู้หญิงของเธอทั้งหมดได้ อาบก่อน ซึ่งบางวันนายของเธอ กลับจากปฏิบัติงานหลังเที่ยงคืน กว่าเธอจะได้อาบน้ำก็ตีสาม และต้องลุกขึ้นทำงานแต่เช้าตรู่
เมื่อผ่านพ้นระยะแรกแล้ว เธอก็จะก้าวขึ้นเป็น มินาราอิซัง เข้าเรียนในการเป็นเกอิชา ซึ่งเธอจะต้องฝึกฝนตั้งแต่กระบวนการ ชิโรนูริ หรือการลงแป้งใบหน้า จนขาวจั๊วะอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของเกอิชา การสวมใส่ชุดกิโมโนพิเศษที่เรียกว่า โอฮิกิซูริ ซึ่งยาวกรอมเท้าและมี “โอบิ” ผ้าคาดอกและเอว ต้องฝึกเดินตัวตรงตลอดเวลา เพื่อให้โอบิตรึงอยู่ได้ เธอต้องหัดโค้งคำนับอย่างสุภาพ อ่อนน้อมต่อลูกค้าผู้เข้ามาใช้บริการ
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การร่ำเรียนดนตรีและนาฏศิลป์ โดยเครื่องดนตรี ที่พวกเธอจะต้องฝึกฝนจนชำนาญ ได้แก่ อูกาวา (กลองหิ้วขนาดใหญ่) โคสึซูมิ (กลองหิ้วขนาดเล็ก) ทาอิโกะ (กลอง) ฟูเอะ (ขลุ่ย) และ ซามิเซน หรือพิณสามสาย นอกจากนี้ เธอยังต้องเรียนการร่ายรำร้องเพลง และศิลปะการละครของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “โนะ” อีกด้วย ตามความเชื่อตั้งแต่ครั้งโบราณถือว่า ศิลปะเหล่านี้ควรเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ 6 เดือน กับ 6 วัน จึงจะได้ผลสำเร็จที่เยี่ยมยอด
หากทว่าเด็กสาวส่วนใหญ่ ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในสถานน้ำชาโอชายะนั้น มักเข้าวัยรุ่น 15 ปี บางคนจึงพบกับความยากลำบากในการเรียนและต้องเลิกราออกไปในที่สุด
พิธีชงน้ำชาก็เป็นภารกิจหนึ่ง ที่เกอิชาจะต้องเรียนรู้ ชานั้นจีนเป็นผู้นำมาสู่ญี่ปุ่น ในช่วงศตวรรษที่ 8 และค่อยๆ เป็นที่นิยม ของขุนนางและคหบดี กระทั่งต่อมา เซนโนริเกียว (ค.ศ. 1522-91) พ่อค้าแห่งซากาอิใกล้เมืองโอซากา ได้นำเอาธรรมเนียมการชงชา มาเผยแพร่เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแม้แต่โชกุนก็ยังชื่นชอบ ที่จะจัดการเลี้ยงน้ำชาเป็นงานใหญ่ และมีเกียรติในระหว่างเหล่าขุนนางชั้นสูง
จุดประสงค์แท้จริงของพิธีชงชานั้น มิได้อยู่ที่รสชาติของชาแต่อย่างใด พิธีชงชาเป็นการแสดงออกถึงมารยาท และธรรมเนียมประเพณีอันงดงามต่างๆ นับตั้งแต่การต้อนรับ การปรุงน้ำชา การส่งถ้วยชา การแสดงความชื่นชมในศิลปะของการจัดดอกไม้แบบอิเคบานา ตลอดจนกลิ่นอายของเครื่องหอมภายในห้องพิธี
สำหรับชนทั่วไปแล้ว การจะเข้ามาใช้บริการในสถานน้ำชาหรือโอชายะนั้น จะต้องขอจองล่วงหน้าต่อ โอกาซัง หรือ “คุณแม่” แห่งสถานน้ำชาในโอชายะชั้นดี บุรุษที่จะเข้ามาได้มักต้องรู้จักคุ้นเคยกับโอกา-ซัง หรือมิฉะนั้นก็เป็นแขกรับเชิญของผู้ที่รู้จัก นอกจากนี้ เขาจะต้องมีฐานะดีอย่างยิ่ง เพราะการเข้ามารับความบันเทิงใจคลายเครียด จากการปรนนิบัติของสาวเกอิชานั้นจัดว่ามีราคาแพงเอาการ
บทส่งท้าย
เนื่องจากสาวเกอิชามีความสามารถ ในการให้ความบันเทิง และมีศิลปะในการปรนนิบัติ จนบุรุษเพศที่มาใช้บริการมีความสุข และคลายเครียด จากการงานอันหนักหน่วงทั้งวัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่เอง ที่บางครั้งทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีความสนิทสนม จนถึงขั้นผูกพันรักใคร่ แต่ข้อห้ามหนึ่งของการเป็นเกอิชาก็คือ เธอจะไม่ได้รับอนุญาต ให้มีสามีในระหว่างประจำทำงาน และที่สำคัญก็คือ บุรุษที่เธอรักใคร่นั้นก็มักจะมีฐานะสูงส่ง และหมายถึงว่าเขามีครอบครัวแล้ว
ความรักของเธอจึงมีอุปสรรคดังเช่นชีวิตของ “ซายูริ” นางเอกเกอิชาใน “นางโลมโลกจารึก” นั่นเอง
อ้างอิงจากเว็บไซต์
- https://pirun.ku.ac.th/~b5410855752/ประวัติเกอิชา.html
- http://artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=3710
แชร์โพสต์